วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559

อุปกรณ์สื่อสารข้อมูล

1. มัลติเพล็กซ์เซอร์
      วงจรมัลติเพล็กซ์เซอร์ คือ วงจรที่ใช้เลือกสัญญาณอินพุต ที่มีหลายๆ ช่องทางให้ออก เอ้าต์พุตเพียงทางเดียวเท่านั้น เปรียบเสมือน สวิทซ์ชนิดแกนเดียวแต่หลายตัวเลือก 



หลักการของวงจรมัลติเพล็กเซอร์
  • สำหรับการส่งข้อมูลทางดิจจิตอล จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง โดยมีกลุ่มข้อมูลที่จะส่งหลายๆ กลุ่ม และมีการส่งข้อมูลในเวลาเดียวกัน จาเป็นต้องใช้วิธีการมัลติเพล็กเซอร์ และ ดีมัลติเพล็กเซอร์มาใช้
  • ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายส่งข้อมูล ได้มากเนื่องจาก ใช้สายส่งข้อมูลที่น้อยลง 
  • หลักมัลติเพล็กเซอร์ คือ วงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้สาหรับเลือกสัญญาณในการส่งข้อมูลจาก หลายๆ ช่องทางให้ออกเพียงทางเดียวเท่านั้น โดยจานวนอินพุต มีค่าเท่ากับ 2nเมื่อ n คือจานวนอินพุตที่ใช้ในการควบคุมการเลือก  

วงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 อินพุต (2 line to 1 Line Multiplexer)

  • เป็นวงจรที่ใช้เลือกข้อมูล (Data) 2 ข้อมูล โดยเลือกข้อมูลให้ข้อมูลหนึ่งออกมาทาง เอาต์พุต โดยมีอินพุตสาหรับเป็นตัวเลือกข้อมูล การทำงานแบบนี้เรียกว่า 2 Line to 1 Line multiplexer ซึ่งสามารถเขียนตารางความจริงได้ดังนี้
วงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 อินพุต (2 line to 1 Line Multiplexer)
จากตารางจะเห็นว่า เมื่อ S = 0 , D0 จะถูกเลือกให้ออกไปที่เอ้าต์พุต และถ้า S = 1 , D1ก็จะถูกเลือกให้ออกไปที่เอ้าต์พุต และเขียนเป็นสมการลอจิกได้ดังนี้

วงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 4 อินพุต ( 4 Line to 1 Line Multiplexer )

  • ในกรณีที่มีตัวเลือกเพียงตัวเดียว ก็สามารถเลือกข้อมูลได้ 2 ข้อมูล ถ้าต้องการให้เลือกข้อมูลข้อมูล ก็จะใช้ตัวเลือก 2 ตัว ( 22= 4 )
  • มีอินพุตเลือกสองอินพุตเป็นตัวเลือก การทำงานแบบนี้เราเรียกว่า 4 Line to 1 Line Mutiplexer





วงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 4 อินพุต ( 4 Line to 1 Line Multiplexer )
  • จากตารางจะเห็นว่า เมื่อ S0และ S1 = 0 , D0 จะถูกเลือกให้ออกไปที่เอ้าต์พุต และ
  • ถ้าS0= 0 , S1= 1 , D1ก็จะถูกเลือกให้ออกไปที่เอ้าต์พุต และถ้า S0= 1 , S1= 0 , D2ก็จะถูกเลือกให้ออกไปที่
    เอ้าต์พุต และถ้า
     S0และ S1= 1 , D3ก็จะถูกเลือกให้ออกไปที่เอ้าต์พุต เขียนเป็นสมการได้ดังนี้ 
วงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 4 อินพุต ( 4 Line to 1 Line Multiplexer )
  • จากสมการลอจิกจะเห็นว่ามีความคล้ายคลึงกันระหว่างเทอมที่อยู่ในวงเล็บ
  • ความคล้ายคลึงกันของสมการทั้งหมด เมื่อเทียบกับมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 อินพุต
  • นั่นคือเราสามารถนำเอาวงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 อินพุตมาทำเป็นวงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 4 อินพุต


วงจรมัลติเพล็กเซอร์แบบ 4 อินพุต ( 4 Line to 1 Line Multiplexer )
  • ตัวอย่างการนำ แบบ 2 line มาต่อ เป็น 4 Line


         หลักการของวงจรมัลติเพล็กเซอร์
  • เราสามารถออกแบบวงจรมัลติเพล็กซ์เซอร์ ได้ในลักษณะของการออกแบบวงจรลอจิกทั่ว ๆไป โดยกำหนดให้สวิทซ์เลือก เป็นอินพุต และเอ้าต์พุตมีเพียงเอ้าต์พุตเดียว
  • ในทางปฏิบัติเราสามารถเลือกใช้ไอ.ซีมัลติเพล็กซ์เซอร์ ได้ เช่น ไอ.ซีเบอร์ 74150 , 74151 , 74152 และ 74153 ซึ่งเป็นไอ.ซีที่สามารถทางานได้โดยไม่ต้องออกแบบวงจรเอง 
หลักการของวงจรดีมัลติเพล็กเซอร์ ( Demultiplexers; DMUX )
  • วงจรดีมัลติเพล็กเซอร์ จะทาการถอดข้อมูลที่มาจาก มัลติเพล็กเซอร์ ซึ่งจะมีจะมีตัวเลือกข้อมูลเช่นเดียวกับ มัลติเพล็กเซอร์
  • วงจรดีมัลติเพล็กเซอร์ทางานตรงข้ามกับมัลติเพล็กเซอร์ คือ จะมีอินพุตเพียงอินพุตเดียว และส่งออกไปยังหลายๆ เอ้าพุต

งจรดีมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 เอ้าต์พุต ( 1 Line to 2 Line Demultiplexer)
  • เป็นวงจรที่ใช้เลือกข้อมูลทั้งหมดที่เข้ามา ( DATA IN ) โดยจะได้ข้อมูลออกมาทางเอ้าต์พุต 2 เอ้าต์พุต โดยมีอินพุตเลือกหนึ่งอินพุตเป็นตัวเลือก
  • การทางานแบบนี้เราเรียกว่า 1 Line to 2 Line Demutiplexer 
  • อินพุตคือ Din และตัวเลือกคือ S มีเอ้าต์พุต 2 เอ้าต์พุตคือ D0และ D1
  • เราสามารถเขียนเป็นตารางความจริงออกมาได้ดังนี้

วงจรดีมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 เอ้าต์พุต ( 1 Line to 2 Line Demultiplexer)
  • แสดงตารางความจริงของ ดีมัลติเพล็กเซอร์แบบ 2 เอ้าต์พุตจากตารางเขียนเป็นสมการลอจิกได้ดังนี้


ที่มา  mathcom.uru.ac.th/~beebrain/Slide/4121701Z/Digital%20Section07.pdf

2. คอนเซนเทรเตอร์(Concentrator)

          คอนเซนเทรเตอร์คอนเซนเทรเตอร์ (Concentrator) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหน่วยประมวลผลทางการสื่อสาร (Communications Processor) โดยมากจะเป็นคอมพิวเตอร์อีกตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่เฉพาะ ส่วนใหญ่จะมีหน่วยความจำสำรองพ่วงติดอยู่กับคอนเซนเทรเตอร์ ซึ่งทำหน้าที่รวมข้อมูลที่ส่งเข้ามาด้วยความเร็วต่ำจากนั้นจะนำข้อมูลที่รวม กันแล้วส่งผ่านสายส่งความเร็วสูงไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์อีกต่อหนึ่ง


ภาพจาก : https://sites.google.com/site/oopakornkansesan/_/rsrc/1442641376010/home/khxn-sen-te-r-texr-concentrator

หลักการทำงานของคอนเซนเทรเตอร์
           คอนเซนเทรเตอร์เป็นอุปกรณ์อีก ชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่คล้ายกับมักซ์ คือ รวมสัญญาณจากสายสื่อสารหลายเส้นเข้าด้วยกันเพื่อส่งออกทางสายสื่อสารเพียง เส้นเดียว แต่ก็มีความต่างกันในรายละเอียดและวิธีนำมาใช้งาน มักซ์จำเป็นต้องใช้งานเป็นคู่เสมอในขณะที่คอนเซนเทรเตอร์ใช้เพียงเครื่อง เดียวและยังมีขีดความสามารถในการประมวลผลและเก็บข้อมูลได้ด้วย ซึ่งมีกลไกหลายขั้นตอนดังนี้

1. การใช้บัฟเฟอร์ (Buffering) ข้อมูลที่ส่งมายังคอนเซนเทรเตอร์มาจากหลายอุปกรณ์และหลายรูปแบบ ดังนั้นจึงต้องมีการจัดเก็บข้อมูลด้วยบัฟเฟอร์ เพื่อผ่านการจัดการของ คอนเซนเทรเตอร์ต่อไป

2. จองเนื้อที่หน่วยความจำและควบคุมการจัดคิว (Allocation of Storage and Control of Queues) การจองเนื้อที่หน่วยความจำนี้บางครั้งมีขั้นตอนที่สลับซับซ้อนมากบางครั้ง ข้อมูลจากอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลปลายทางหลาย ๆ เครื่องมีการส่งเข้ามาพร้อม ๆ กัน ซึ่งจะใช้วิธีแก้ปัญหาโดยการจองเนื้อที่หน่วยความจำแบบไม่คงที่ (Dynamic allocation) จากนั้นก็จะมีการจัดคิวการทำงานที่ จัดการกับข้อมูลก่อนหลัง แล้วจึงส่งผ่านกระแสข้อมูลที่รวมกันแล้วไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์

3. รับข่าวสารจากอุปกรณ์รับส่งข้อมูลปลายทาง คอนเซนเทรเตอร์จะมีวงจรที่ ต่อพ่วงกับอุปกรณ์ที่ส่งผ่านข้อมูลด้วยความเร็วต่ำหลายเครื่องและต้องคอย ตรวจสอบว่าเมื่อไรจะมี ข้อมูลส่งเข้ามา การรอคอยข้อมูลเข้านี้เป็นไปในลักษณะที่ไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด และมาจากสายส่งเส้นไหน ด้วยเหตุนี้คอนเซนเทรเตอร์จึงต้องมีการตรวจหา (Scan) ไปตามสายต่าง ๆ ด้วยความเร็วสูงเพื่อช่วยป้องกันสัญญาณสูญหายหรือผิดเพี้ยนไป
4. รวมข้อมูลเพื่อส่งผ่านในสายส่งความเร็วสูง เพื่อรวบรวมข้อมูลที่ได้รับมาเปลี่ยนรหัส จากนั้นก็จะจัดข้อมูลเป็นกลุ่ม โดยจะต้องให้เครื่องคอมพิวเตอร์ ทราบด้วยว่าข้อมูลกลุ่มนั้นมาจากสถานีไหนจึงต้องเพิ่มรหัสประจำสถานีไว้ที่ ส่วนต้นของกลุ่มข้อมูล จึงจะอยู่ในสภาพพร้อมที่จะส่งข้อมูล
5. ตรวจสอบข้อผิดพลาด ในการส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง แบบซิงโครนัส ซึ่งจะมีการตรวจสอบโดยใช้แพริตี้บิต

         จากหลักการจะเห็นได้ว่าคอนเซนเท รเตอร์เครื่องหนึ่งถูกนำมาวางไว้ระหว่างโฮสต์และเทอร์มินอลจำนวนหนึ่ง คอนเซนเทรเตอร์จะรับข้อมูลเข้ามาจากเครื่องเทอร์มินอลทำการตรวจสอบความถูก ต้องของข้อมูล เก็บข้อมูลนั้นไว้เพื่อรอการนำส่ง และส่งข้อมูลนั้นไปยังโฮสต์ในที่สุด ถ้าโฮสต์และเทอร์มินอลอยู่ห่างจากกัน คอนเซนเทรเตอร์จะถูกวางไว้ที่ฝั่งเทอร์มินอลเพื่อให้มีสายสื่อสารเพียงเส้น เดียวเชื่อมไปที่โฮสต์
ภาพแสดงคอนเซนเทรเตอร์ในระบบเครือข่าย

        เนื่อง จากมีตัวประมวลผลและหน่วยบันทึกข้อมูลในตัวเอง คอนเซนเทรเตอร์จึงสามารถทำงานร่วมกับเทอร์มินอลได้แม้ว่าสายสื่อสารที่ติด ต่อกับโฮสต์จะเสียหายหรือถูกยกเลิกเป็นการชั่วคราว ข้อมูลจากเทอร์มินอลจะถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีและนำส่งต่อไปยังโฮสต์เมื่อสาย สื่อสารสามารถใช้งานได้ตามปกติ การโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับโปรแกรมบางอย่างที่เทอร์มินอลก็สามารถทำงานได้โดย ใช้ ตัวประมวลผลที่คอนเซนเทรเตอร์แทนได้ นอกจากนั้นแล้วคอนเซ็นเทรเตอร์สามารถเชื่อมต่อเทอร์มินอลจำนวนหนึ่งเข้ากับ โฮลต์หลายเครื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน



มัลติเพล็กเซอร์ จัดอยู่ใน OSI Physical Layer 1


3. ฟร้อนท์เอ็นด์ (Front-end Processor)
     ฟร้อนท์-เอ็นด์โปรเซสเซอร์ หรือ FEP เป็นคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อโฮสต์คอมพิวเตอร์ หรือมินิคอมพิวเตอร์กับอุปกรณ์ของเครือข่ายการสื่อสารข้อมูล (ได้แก่ มัลติเพล็กเซอร์ โมเด็ม และอื่น ๆ ) มินิคอมพิวเตอร์บางเครื่องก็ไม่จำเป็นต้องใช้ฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ช่วยในการเชื่อมต่อการสื่อสาร 

     ฟร้อนท์-เอ็นด์โปรเซสเซอร์จะเชื่อมต่อโดยตรงกับโฮสต์คอมพิวเตอร์ โดยผ่านช่องทางข้อมูลอัตราเร็วสูงในเครือข่ายขนาดใหญ่ ช่องทางดังกล่าวอาจจะใช้สายไฟเบอร์ออปติก ส่วนอีกด้านหนึ่งของฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ก็ต่อเข้ากับมัลติเพล็กซ์เซอร์ หรือโมเด็ม หรือต่อเข้าโดยตรงกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพอร์ตต่อพอร์ต เพราะว่าฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์เป็นคอมพิวเตอร์
     ดังนั้นจึงต้องมีฮาร์ดแวร์ หน่วยความจำ และซอฟต์แวร์ (โปรแกรม) เป็นของตัวเอง จำนวนของอุปกรณ์ที่ต่อเข้ากับพอร์ตของฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์อาจจะมีได้มากถึง 64 หรือ 128 หรือ 256 อุปกรณ์ต่อฟรอนต์-เอ็นโปรเซสเซอร์ 1 เครื่อง อย่างไรก็ตามเรายังต้องคำนึงเวลาในการตอบสนองให้ทันต่อการใช้งาน ซึ่งจะทำให้เราต้องลดจำนวนอุปกรณ์ลงมา และยังขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยความจำอีกด้วย 


หน้าที่โดยหลัก ๆ ของฟร้อนท์-เอ็นด์โปรเซสเซอร์ มีดังนี้

     1. แก้ไขข่าวสาร : ด้วยการจัดเส้นทางข่าวสาร อัดขนาดข้อมูล และแก้ไขข้อมูล
     2. เก็บกักข่าวสาร : เป็นการเก็บกักข่าวสารข้อมูลไว้ชั่วคราว เพื่อจัดระเบียบการเข้า-ออกของข้อมูลของคอมพิวเตอร์ 
และจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลังของสายและผู้ใช้
     3. เปลี่ยนรหัส : เปลี่ยนอักขระและข่าวสารจากรหัสหนึ่งไปเป็นอีกรหัสหนึ่ง หรือระหว่างโปรโตคอลหนึ่งไปเป็นอีกโปรโตคอลหนึ่ง
     4. รวบรวมหรือกระจายอักขระ : จากบิตเป็นอักขระหรือจากอักขระเป็นบิต สำหรับการส่งข้อมูลแบบอะซิงโครนัสและซิงโครนัส
     5. ควบคุมอัตราเร็ว : ควบคุมอัตราเร็วการส่ง-รับข้อมูลของสายส่งข้อมูลกับฮาร์ดแวร์ให้สัมพันธ์กัน
     6. จัดคิว : ควบคุมคิวการเข้า-ออกของข้อมูลคอมพิวเตอร์หลัก
     7. ตรวจจับและควบคุมความผิดพลาด : เพื่อร้องขอให้มีการส่งข้อมูลมาใหม่ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีความผิดพลาดในการส่งข้อมูลเกิดขึ้น
     8.  อีมูเลต : เป็นการเลียนแบบซอฟต์แวร์ของฮาร์ดแวร์อันหนึ่งให้ "ดูเสมือน" กับซอฟต์แวร์ของฮาร์ดอื่น ๆ ในเครือข่ายในเครือข่าย ฯลฯ

ฟร้อนท์-เอ็นโปรเซสเซอร์ จัดอยู่ใน OSI Transport Layer 4


4. คอนเวอร์เตอร์


ภาพจาก :  http://ca.lnwfile.com/
       คอนเวอร์เตอร์นับว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดในสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย มีหน่าที่ลดทอนแรงดันไฟตรงค่าสูงลงมาเป็นแรงดันไฟตรงค่าต่ำ และสามารถคงค่าแรงดันได้ คอนเวอร์เตอร์มีหลายแบบขึ้นอยู่กับลักษณะการจัดวงจรภายใน โดยคอนเวอร์เตอร์แต่ละแบบจะมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป การจะเลือกใช้คอนเวอร์เตอร์แบบใดสำหรับสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลายนั้นมีข้อควรพิจารณาจากลักษณะพื้นฐานของคอนเวอร์เตอร์แต่ละแบบดังนี้คือ
·                     ลักษณะการแยกกันทางไฟฟ้าระหว่างอินพุตกับเอาต์พุตของคอนเวอร์เตอร์
·                     ค่าแรงดันอินพุตที่จะนำมาใช้กับคอนเวอร์เตอร์
·                     ค่ากระแสสูงสุดที่ไหลผ่านเพาเวอร์ทรานซิสเตอร์ในคอนเวอร์เตอร์ขณะทำงาน
·                     ค่าแรงดันสูงสุดที่ตกคร่อมเพาเวอร์ทรานซิสเคอร์ในคอนเวอร์เตอร์ขณะทำงาน
·                     การรักษาระดับแรงดันในกรณีที่คอนเวอร์เตอร์มีเอาต์พุตหลายค่าแรงดัน
·                     การกำเนิดสัญญาณรบกวน RFI/EMI ของคอนเวอร์เตอร์
        จากข้อพิจารณาดังกล่าว จะทำให้ผู้ออกแบบทราบขีดจำกัดของคอนเวอร์เตอร์และตัดสินใจเลือกใช้คอนเวอร์เตอร์แบบใดได้ ปัจจุบันได้มีการพัฒนาคอนเวอร์เตอร์ในรูปแบบต่างๆ ขึ้นมามากมาย ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะคอนเวอร์เตอร์ที่นิยมใช้เป็นในอุตสาหกรรมของสวิตชิ่งเพาเวอร์ซัพพลาย คือ
·                     ฟลายแบคคอนเวอร์เตอร์ (Flyback converter)
·                     ฟอร์เวิร์ดคอนเวอร์เตอร์ (Forward converter)
·                     พุช-พูลคอนเวอร์เตอร์ (Push-Pull  converter)
·                     าล์ฟบริดจ์คอนเวอร์เตอร์ (Half-Bridge  converter)
·                     ฟูลบริดจ์คอนเวอร์เตอร์ (Full-Bridge  converter)
         คอนเวอร์เตอร์ทั้ง 5 แบบนี้ มีลักษณะการทำงานที่ไม่แตกต่างกันจนเกินไปนัก และค่อนข้างง่ายต่อการทำความเข้าใจและศึกษา คอนเวอร์เตอร์เหล่านี้ยังสามารถแบ่งย่อยได้อีกหลายประเภทโดยการเพิ่มเทคนิคบางประการให้กับคอนเวอร์เตอร์ ในที่นี้จะกล่าวถึงแต่เพียงการทำงานพื้นฐานเท่านั้น




5. เกตเวย์ (Gateway)

          
            เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยสามารถเชื่อมต่อ LAN หลายๆ เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างกัน และใช้สื่อส่งข้อมูลต่างชนิดกันได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อ Ethernet LAN ที่ใช้สายส่งแบบ UTP เข้ากับToken Ring LAN ได้



            เกตเวย์เป็นเหมือนนักแปลภาษาที่ทำให้เครือข่ายที่ใช้โปรโตคอลต่างชนิดกันสามารถสื่อสารกันได้ หากโปรโตคอลที่ใช้รับส่งข้อมูลของเครือข่ายทั้งสองไม่เหมือนกันเกตเวย์ ก็จะทำหน้าที่แปลงโปรโตคอลให้ตรงกับปลายทางและเหมาะสมกับอุปกรณ์ของฮาร์ดแวร์ที่แต่ละเครือข่ายใช้งานอยู่นั้นได้ด้วย ดังนั้นอุปกรณ์เกตเวย์จึงมีราคาแพงและขั้นตอนในการติดตั้งจะซับซ้อนที่สุดในบรรดาอุปกรณ์เครือข่ายทั้งหมด
           ในการที่เกตเวย์จะสามารถส่งข้อมูลจากเครือข่ายหนึ่งไปยังอีกเครือข่ายหนึ่งได้อย่างถูกต้องนั้น ตัวของเกตเวย์เองจะต้องสร้างตารางการส่งข้อมูล หรือที่เรียกว่า routing table ขึ้นมาในตัวของมัน ซึ่งตารางนี้จะบอกว่าเซิร์ฟเวอร์ไหนอยู่เครือข่ายใด และอยู่ภายใต้เกตเวย์อะไร ตารางนี้จะมีการปรับปรุงข้อมูลทุกระยะ สำหรับเครือข่ายขนาดใหญ่
            อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นเกตเวย์อาจจะรวมเอาฟังก์ชันการทำงานที่เรียกว่า Firewall ไว้ในตัวด้วย ซึ่ง Firewall เป็นเหมือนกำแพงที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้คอมพิวเตอร์ที่อยู่นอกเครือข่ายของบริษัท เข้ามาเชื่อมต่อลักลอบนำข้อมูลภายในออกไปได้

ที่มา  http://www.il.mahidol.ac.th/e-media/computer/network/net_wan9.htm



6.เราเตอร์ ( Router)


Router คือ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อระบบเครือข่ายอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าแปลความหมายคำว่า Route ก็คือ ถนน นั่นเอง ดังนั้น การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ด้วย Router ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ได้มากกว่าหนึ่งเครื่องในเวลาเดียวกัน ซึ่ง Router นั้นจะมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการควบคุมการทำงานเรียกว่า Internetwork Operating System (IOS) และตัว Router จะมีช่องที่ใช้เสียบต่อสายสัญญาณเรียกว่า Port LAN ซึ่งโดยทั่วไปมักมี 4 Ports หรือมากกว่า ใน Router 1 ตัว 
    
     หน้าที่หลักของ Router คือการหาเส้นทางในการส่งผ่านข้อมูลที่ดีที่สุด และเป็นตัวกลางในการส่งต่อข้อมูลไปยังเครือข่ายอื่น ทั้งนี้ Router สามารถเชื่อมโยงเครือข่ายที่ใช้สื่อสัญญาณหลายแบบแตกต่างกันได้ไม่ว่าจะเป็น Ethernet, Token Rink หรือ FDDI ทั้งๆที่ในแต่ละระบบจะมี packet เป็นรูปแบบของตนเองซึ่งแตกต่างกัน โดยโปรโตคอลที่ทำงานในระดับบนหรือ Layer 3 ขึ้นไปเช่น IP, IPX หรือ AppleTalk เมื่อมีการส่งข้อมูลก็จะบรรจุข้อมูลนั้นเป็น packet ในรูปแบบของ Layer 2 คือ Data Link Layer เมื่อ Router ได้รับข้อมูลมาก็จะตรวจดูใน packet เพื่อจะทราบว่าใช้โปรโตคอลแบบใด จากนั้นก็จะตรวจดูเส้นทางส่งข้อมูลจากตาราง Routing Table ว่าจะต้องส่งข้อมูลนี้ไปยังเครือข่ายใดจึงจะต่อไปถึงปลายทางได้ แล้วจึงบรรจุข้อมูลลงเป็น Packet ของ Data Link Layer ที่ถูกต้องอีกครั้ง เพื่อส่งต่อไปยังเครือข่ายปลายทาง


คุณสมบัติของ Router
1.ทำหน้าที่คล้าย Swich ทำให้เชื่อมต่อได้หลายเครื่องพร้อมกัน
2.บางรุ่นรองรับการทำงาน Wire หรือ Wireless 
3.เป็น ADSL Modem ในตัว (เฉพาะบางรุ่นเท่านั้น)
4.Firewall /IPsec VPN (รองรับการเชื่อมต่อทางไกลแบบมี security)
5.Antivirus (รุ่นใหม่ๆ ของ Router บางรุ่น จะมี antivirus program ฝังอยู่ด้วย)
ข้อดีของการใช้เราเตอร์
1. ในการใช้เราเตอร์เชื่อมต่อเครือข่ายเข้าด้วยกัน ปริมาณการส่งข้อมูลของแต่ละเครือข่ายย่อยจะแยกจากกันโดยเด็ดขาด นั่นคือปริมาณการไหลเวียนของข้อมูลในเครือข่าย LAN หนึ่งจะไม่รบกวนการไหลเวียนข้อมูลของอีกเครือข่าย LAN หนึ่ง
2. มีความคล่องตัวในการทำงานสูง เนื่องจากสามารถทำงานร่วมกับโทโพโลยีได้ทุกชนิด
3. สามารถกำหนดความสำคัญในการส่งข้อมูลได้ เช่น สามารถกำหนดได้ว่าหากข้อมูลที่ส่งไปอยู่ในรูปแบบของโปรโตคอลที่มีลำดับความสำคัญสูง ก็สามารถลัดคิวส่งออกไปได้ก่อน
4. การปิดกั้นเครือข่าย หรือแยกเครือข่ายออกจากเครือข่ายที่ไม่ต้องการจะติดต่อด้วย ซึ่งเป็นการรักษาความปลอดภัยวิธีหนึ่ง
5. การเลือกเส้นทางในการที่จะส่งข้อมูล สามารถใช้เราเตอร์ช่วยในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด

ข้อเสีย
1. เราเตอร์ทำงานภายใต้ OSI เท่านั้น และจะไม่ติดต่อหรือส่งข้อมูลในรูปแบบของโปรโตคอลที่ไม่รู้จัก
2. ราคาแพงกว่าสวิตช์และฮับมาก




7. บริดจ์ (Bridge)

ภาพจาก : https://yyweb123.wordpress.com
บริดจ์ (Bridge) คือ อะไร
       บริดจ์ เป็นอุปกรณ์เชื่อมโยงเครือข่ายของเครือข่ายที่แยกจากกัน แต่เดิมบริดจ์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับเครือข่ายประเภทเดียวกัน เช่น ใช้เชื่อมโยงระหว่างอีเทอร์เน็ตกับ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) บริดจ์มีใช้มานานแล้ว ตั้งแต่ปี ค.ศ.1980บริดจ์จึงเป็นเสมือนสะพานเชื่อมระหว่างสองเครือข่ายการติดต่อภายในเครือข่ายเดียวกันมีลักษณะการส่ง ข้อมูลแบบกระจาย(Broadcasting)ดังนั้นจึงกระจายได้เฉพาะเครือข่ายเดียวกันเท่านั้นการรับส่งภายในเครือข่ายมีข้อกำหนดให้แพ็กเก็ตที่ส่งกระจายไปยังตัวรับได้ทุกตัว แต่ถ้ามีการส่งมาที่แอดเดรสต่างเครือข่ายบริดจ์จะนำข้อมูลเฉพาะแพ็กเก็ตนั้นส่งให้บริดจ์จึงเป็นเสมือนตัวแบ่งแยกข้อมูลระหว่างเครือข่ายให้มีการสื่อสารภายในเครือข่าย ของตน ไม่ปะปนไปยังอีกเครือข่ายหนึ่ง เพื่อลดปัญหาปริมาณข้อมูลกระจายในสายสื่อสารมากเกินไป ในระยะหลังมีผู้พัฒนาบริดจ์ให้เชื่อมโยงเครือข่ายต่างชนิดกันได้ เช่น อีเทอร์เน็ตกับโทเก็นริง เป็นต้น หากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายมากกว่าสองเครือข่ายเข้าด้วยกัน และเครือข่ายที่เชื่อมมีลักษณะหลากหลาย ซึ่งเป็นทั้งเครือข่ายแบบ LAN และ WAN อุปกรณ์ที่นิยมใช้ในการเชื่อมโยงคือ เราเตอร์ (Router)
        บริดจ์ เป็นอุปกรณ์ที่มักจะใช้ในการเชื่อมต่อวงแลน (LAN Segments)เข้าด้วยกันทำให้สามารถขยายขอบเขตของ LANออกไปได้เรื่อยๆโดยที่ประสิทธิภาพรวมของระบบไม่ลดลงมากนักเนื่องจากการติดต่อของเครื่องที่อยู่ในเซกเมนต์เดียวกันจะไม่ถูกส่งผ่านไปรบกวนการจราจรของเซกเมนต์อื่น และเนื่องจากบริดจ์เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานอยู่ในระดับ Data Link Layerจึงทำให้สามารถใช้ในการเชื่อมต่อเครือข่ายที่แตกต่างกันในระดับ Physical และ Data Link ได้ เช่น ระหว่าง Eternet กับ Token Ring เป็นต้น







รีพีทเตอร์สำหรับเครือข่ายวิทยุเป็นอุปกรณ์สำหรับช่วยขยายเขตการติดต่อ โดยทำหน้าที่เป็นตัวรับสัญญาณอ่อนที่ส่งเข้ามาและทำการส่งออกไปด้วยกำลังที่สูงขึ้น ระบบที่ใช้กันมากคือการส่งออกทันทีด้วยความถี่ต่างกัน (Duplex Repeater) ในระบบรีพีทเตอร์ย่าน VHF ของวิทยุสมัครเล่นนั้น ความถี่ที่รับจะใช้ความถี่ต่ำกว่าความถี่ส่งอยู่ 600 kHz (-600 kHz) แต่ในรีพีทเตอร์บางแบบจะใช้ความถี่ขาเข้าและขาออกด้วยความถี่เดียว(Simplex Repeater) กัน แต่หน่วงเวลาเพื่อรับข้อความขาเข้าจนจบแล้วจึงทำการส่งออกไป ระบบรีพีทเตอร์มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยให้การติดต่อในกลุ่มนักวิทยุสมัครเล่นทำได้ง่ายขึ้นและระยะทางไกลมากขึ้น โดยไม่ต้องอาศัยระบบสาบอากาศประจำสถานีที่สูงมากนัก โดยเฉพาะช่วงเกิดภัยพิบัติหรือภาวะฉุกเฉินระบบรีพีทเตอร์จะมีบทบาทอย่างโดดเด่นทุกครั้ง รีพีทเตอร์บางกลุ่มในสหรัฐอเมริกาจะทำงานร่วมกันเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงการติดต่อได้ตลอดเส้นทางหลวงของประเทศทั้งหมด การใช้รีพีทเตอร์อย่างเหมาะสมนั้นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบบริการรีพีทเตอร์มิได้ออกแบบมาให้ใช้งานแทนการติดต่อโดยตรงเหมือนระบบ Simplex (รับและส่งความถี่เดียวกัน)แต่การใช้งานที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพนั้น การติดต่อผ่าน รีพีทเตอร์ให้สั้นที่สุดเท่าที่จำเป็น


ภาพจาก : http://1.bp.blogspot.com/



9. โมเด็ม (Modem)

ภาพจาก : http://ecx.images-amazon.com/
          เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร และรับส่งข้อมูลกันบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่อง โอยอาศัยตัวกลางจำพวกสายโทรศัพท์และสาย Fiber Optic ในการส่งผ่านข้อมูล หลักการทำงานโดยคร่าวของโมเด็มก็คือ เปลี่ยนข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอลให้เป็นสัญญาณเสียงเพื่อให้สามารถส่งผ่านไปตามสายโทรศัพท์ได้ และในทางกลับกันก็รับเอาสัญญาณเสียงที่ถูกส่งผ่านมาตามสายโทรศัพท์จากโมเด็มอีกฟากหนึ่งมาแปลงกลับให้เป็นข้อมูลในรูปแบบของสัญญาณดิจิตอลแบบเดิม ปัจจุบันโมเด็มที่มีวางขายและใช้งานกันโดยทั่วไป ถ่าแบ่งออกตามเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูลจะแบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ
Dial-Up Modem (56K Dial-UP)
            เป็นโมเด็มแบบอนาล็อคที่ใช้ในการรับส่งสัญญาณผ่านระบบโทรศัพท์แบบธรรดา เวลาเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละครั้งจำเป็นจะต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์ไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เร็ต (ISP) ด้วย มาตราฐานล่าสุดที่ใช้กันในปัจจุบัน คือ V.92 ซึ่งให้ Bit Rate หรืออัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดที่ 56/33.6 Kbps (รับข้อมูลขาลงจากอินเทอร์เน็ต หรือ Download ที่ความเร็ว 56Kbps และส่งข้อมูล ขาขึ้น Upload ที่ความเร็ว 33.6 Kbps)
ADSL Modem (High-Speed Internet)
             เป็นโมเด็มแบบดิจิตอลที่ใช้เทคโนโลยีในการติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลกันด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนคู่สายโทรศัพท์แบบะรรดา โดยเลือกใช่ย่านความถี่ที่ไม่มีในการใช้งานอินเทอร์เน็ต (โมเด็มแบบ Dial-Up ในระหว่างใช้งานอินเทอร์เน็ตจะำม่สามารถใช้โทรศัพท์ปกติไปพร้อมๆกันได้) อีกทั้งเวลาเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในแต่ละครั่ง ก็ไม่จำเป็นต้องหมุนหมายเลขโทรศัพท์เหมือนกับ 56k Dial-Up อีกด้วย ปัจจุบันเทคโนโยยีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Hing-Speed Internet) และโมเด็มของ ADSL นี้กำลังเป็นที่นิยมและได้กลายเป็นมาตรฐานที่ใช้งานกันโดยทั่วไป ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกใช้ความเร็วได้ตามต้องการจากผ๔้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น 256/128512/256 และ 1024/512 Kbps เป็นต้น โดยแต่ละความเร็วจะมีอัตราค่าบริการแต่กต่างกันไปสำหรับอัตราความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงสุดด้วยระบบ ADSL ในปัจจุบันจะอยู่ที่ 8192/1024 Kbps หรือก็คือ รับส่งข้อมูลขาลงจาก ISP (Download) ด้วยความเร็วสูงสุด 16 Mbps และส่งข้อมูลขาขึ้นไปหา ISP (Uplpad) ด้วยความเร็วสูงสุด 1 Mbps
รูปแบบของโมเด็ม สามารถแบ่งออกตามลักษณะในการติดตั้งได้ดังนี้
แบบติดตั้งภายใน (Internal Modem) มักเป็นแบบการ์ด PCI ที่ใช้เสียบลงบนเมนบอร์ดข้อดีของโมเด็มแบบนี้คือ ไม่มีสายต่อรุงรังและไม่ต้องใช้ตัวอะแดปเตอร์ (Adapter) คอยจ่ายไฟเลี้ยงให้
แบบติดตั้งถายนอก (External Modem) เป็นแบบตัวเตรื่องขนาดเล็กวางตั้งไว้อยู่ภายนอกตัวเครื่อง ในการเชื่อมต่อถ้าเป็นโมเด็ม 56จะมีทั้งแบบที่ใช้กับพอร์ตอนุกรมและพอร์ต USB แต่ถ้าเป็น โมเด็ม ADSL จะมีทั้งแบบที่ใช้กับช่างต่อ RJ-45 ของการ์ด LAN และพอร์ต USBส่วนสายสัญญารโทรศัพท์จะใช้เสียบเข้ากับช่องต่อ RJ-11 ของอุปกรณ์แยกสัญญาร (Splitter) ข้อดีของโมเด็มแบบนี้คือ ติดตั้งได้ง่ายและมีไฟบอกสถานะตลอดเวลา
แถมความรู้ให้อีกนิด
Splitter หรือ POTS Splitter  กวนสัญญารของเครื่องโทรศัพท์ธรรดาที่ต่อพ่วงอยู่ ทำให้สามารถเล่นอินเทอร์เน็ตในระบบ ADSL ไปพร้อมๆกับการใช้โทรศัพท์บ้านได้ตามปกติ




Access Point (AP) คืออุปกรณ์ที่มีหน้าที่ในการกระจายสัญญาณไวร์เลส เป็นอุปกรณ์พื้นฐานตัวหนึ่งที่สามารถสร้างเครือข่ายไร้สายจากระบบเครือข่ายแลน(Lan)ได้ง่ายที่สุด แอคเซสพอยท์ทำหน้าที่กระจายสัญญาณออกไปยังเครื่องลูกข่ายที่อยู่ในรัศมีการกระจายสัญญาณโดยรอบ ซึ่งลักษณะของตัวแอคเซสพอยท์นั้นจะมีลักษณะที่แตกต่างกันอยู่กับผู้ผลิตจะดีไซน์ให้มีรูปร่างหน้าตาแบบไหน แต่ที่เหมือนกันก็คือ AP จะมีช่องเชียบสายแลนเพียงช่องเดียวเท่านั้น ช่องดังกล่าวจะเป็นช่องที่รับสัญญาณอินเตอร์เน็ตหรือใช้เชื่อมต่อกับเน็ตเวิร์คจากเครือข่ายแลนเข้ากับเครื่องลูกข่ายที่เชื่อมต่อแบบไร้สาย การทำงานของ AP จะทำงานภายใต้มาตรฐานของ IEEE802.11 ซึ่งทำให้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐานนี้สามารถใช้งาน AP ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ




11. ฮับ (Hub) 

ภาพจาก : http://lanhardware.files.wordpress.com/

ฮับ (Hub)  คือ เป็นอุปกรณ์ศูนย์กลาง ที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆ เข้าด้วยกัน
ฮับ (HUB)ในระบบเครือข่าย
ฮับเป็นอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณของอุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน การจะทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องคอมพิวเตอร์รู้จักกัน หรือส่งข้อมูลถึงกันได้จะต้องผ่านอุปกรณ์ตัวนี้ ปัจจุบันฮับถูกเปรียบเทียบกับ Switch
ซึ่งมีความสามารถสูงกว่า และถือได้ว่าเป็นอุปกรณ์มาตราฐานที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงสัญญาณในระบบเครือข่าย เรียกว่าฮับตกกระป๋อง
โดยทั่วไปจะมีลักษณเหมือนกล่องสีเหลี่ยมแต่แบน มีความสูงประมาณ 1-3 นิ้ว แล้วแต่รุ่น มีช่องเล็กๆ เอาไว้เสียบสายแลนแต่ละเส้นที่ลากโยงมาจากคอมพิวเตอร์ มีหลายรุ่น เช่น Hub 4 Ports, 8 Ports, 16 Ports, 24 Ports หรือ48 Ports เป็นต้น หน้าตารูปร่างของฮับจะเหมือนกัน Switch ดังนั้นการเลือกซือต้องระวังให้ดี
                   ฮับ ทำงานอย่างไร
เมื่อใดที่มีคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายต้องการส่งข้อมูล ฮับทำจะหน้าที่ในการทำสำเนาข้อมูลและส่งไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ภายในเครือข่าย ไม่ใช่แค่คอมพิวเตอร์ แต่รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ด้วยเช่น เครื่องพิมพ์ เป็นต้น เรียกว่าส่งข้อมูลไปทั้งหมด และถ้าข้อมูลนี้เป็นของอุปกรณ์ใด อุปกรณ์นั้นก็จะรับเองอัตโนมัติ และจุดด้อยของฮับที่ควรทราบคือ เวลามีอุปกรณ์ใดส่งข้อมูลในเครือข่ายผ่านฮับ อุปกรณ์อื่นๆ จะต้องรอให้การส่งสมบูรณ์ก่อน เปรียบเทียบได้กับถนน One-Way ห้ามส่งข้อมูลสวนทางกัน
                 ความเร็วในการรับส่งข้อมูลของฮับ                                       
                    • ความเร็วต่ำสุดคือ 10 MBPS                                      
                    • ความเร็วสูงสุดคือ 100 MBPS
                    • บางรุ่นรองรับทั้ง 10 และ 100 เรียกว่า 10/100 MBPS
                   MBPS ย่อมาจาก MegaBit Per Second (เมกกะบิตต่อวินาที)
   hub นั้นทำงานในระดับ layer 1 ซึ่งเป็น layer เกี่ยวข้องกับ เรื่องของการส่งสัญญาณออกไปสู่ media หรือ สื่อกลางที่ใช้ในการสื่อสาร รวมไปถึงเรื่องของการเข้ารหัสสัญญาณเพื่อที่จะส่งออกไปเป็นค่าต่างๆในทางไฟฟ้า และ เป็น layer ที่กำหนดถึง การเชื่อมต่อต่างๆที่เป็นไปในทาง physical hub นั้น จะทำงานในลักษณะของการทวนสัญญาณ หมายถึงว่า จะทำการทำซ้ำสัญญาณนั้นอีกครังซึ่งเป็นคนละอย่างกับการขยายสัญญาณนะครับ พอทำแล้วก็จะส่งออกไปยังเครือข่ายที่เชื่อมต่ออยูโดยจะมีหลักว่า จะส่งออกไปยังทุกๆ port ยกเว้น port ที่เป็นตัวส่งสัญญาณออกมาและเมื่อปลายทางแต่ละจุดรับข้อมูลไปแล้ว ก็จะต้องพิจารณา ข้อมูลที่ได้มา ว่าข้อมูลนั้นส่งมาถึงตัวเองหรือไม่ ถ้าหากไม่ใช่ข้อมูลที่จะส่งมาถึงตัวเอง ก็จะไม่รับข้อมูลที่ส่งมานั้น
การทำงานในระดับนี้ ถ้าดูในส่วนของตัวhub เองนั้น จะเห็นได้ว่า ตัวของ hub นั้นเวลาส่งข้อมูลออกไป จะไม่มีการพิจารณาข้อมูลอย่างพวก mac address ของ layer 2หรือ ip addressซึ่งเป็นของ layer 3 เลย



12. สวิทซ์ (Switch)

ฟังก์ชั่นส์ Switch คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการเพิ่มหรือขยายพอร์ทให้เพิ่มขึ้น โดยส่วนใหญ่ Modem Router ที่ได้มาจากผู้ให้บริการจะมีพอร์ท Switch ตั้งแต่ 1-4 พอร์ท แล้วแต่รุ่น แต่เราสามารถเพิ่มพอร์ทให้มีมากขื้นโดยใช้งาน Switch ดังกล่าว แต่เดิมหลาย ๆ คนเรียกว่า Hub ซึ่งแท้จริงแล้วในปัจจุบันหาซื้อ Hub แทบไม่มีแล้วเนื่องจาก Hub เป็นเทคโนโลยีที่เก่าแล้ว เป็นฟังก์ชั่นส์หรืออุปกรณ์ซึ่งอยู่ใน Layer 1 ของ OSI Layer Reference Model แต่ Switch ทำงานอยู่ใน Layer 2 มีความฉลาดกว่า เร็วกว่า มีการแชร์ความเร็วที่ดีกว่า Hub เรียนรู้การใช้งาน MAC Address ได้
Switch มีหลายประเภท หากให้แบ่งก็คงแบ่งได้ดังนี้ หากแบ่งตามกายภาพ มีแบบ Desktop Switch (Switch แบบใช้วางบนโต๊ะทั่วไปตัวไม่ใหญ่ส่วนใหญ่เป็นเคสพลาสติก) อีกประเภทคือ Rack Switch หรือ Switch ประเภทที่สามารถประกอบกับตู้ Rack มาตรฐาน 19" ได้ส่วนใหญ่เป็นเคสโลหะมี Power Supply ในตัว
หากแบ่งตามความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล ก็อาจแบ่งได้เป็น Fast Ethernet Switch (มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูล 10/100 Mbps) และ Gigabit Ethernet Switch (10/100/1000Mbps)
หากแบ่งตามความสามารถ ก็อาจแบ่งได้เป็น Unmanaged Switch หรือ Switch ที่ไม่สามารถเข้าไปจัดการอะไรได้ (Setup ไม่ได้) และแบบ Managed Switch หรือ Switch ที่สามารถ Setup ได้ อาจทำ VLAN ประเภท Port-base VLAN ได้
หากแบ่งตาม OSI Reference Model ก็อาจเป็น Layer 2 Switch, Layer 3 Switch หรืออาจเป็น Layer 7 Switch เป็นต้น
Switch บางประเภทสามารถอาจมีพอร์ทพิเศษ กล่าวคือ มีพอร์ทที่สามารถเชื่อมต่อกับ Switch เครื่องอื่นได้แบบ Stack ข้อดีคือไม่เสียพอร์ทแบบปกติในการเชื่อมต่อและอุปกรณ์มองเป็น Switch ตัวเดียวกันทำให้ไม่เสีย Hop ในการเดินทาง แต่ต้องดูว่า Switch ที่มีพอร์ท Stack นี้สามารถ Stack ได้สูงสุดกี่เครื่อง
Switch บางประเภทมีพอร์ท Uplink ในการเชื่อมต่อกับ Switch ตัวอื่น โดยพอร์ท Uplink นี้อาจอยู่ในรูปพอร์ทที่สามารถเอา Connector ประเภท RJ45 ใส่ได้เลย หรืออาจมาในรูปแบบของ Network Module หรือ GBIC หรือ SFP ช่องว่าง ๆ ให้เราสามารถเลือก Network Module ประเภทต่าง ๆ ใส่ลงไป อาจเป็น Network Module ที่มี Connector ประเภท Fiber Optic ก็ได้ อันนี้แล้วแต่การ Design หรือ Configuration
Switch บางตัวสามารถจ่ายไฟเป็นเลี้ยงอุปกรณ์ที่มาต่อด้วยได้ ได้แก่ Switch ที่มีพอร์ทรองรับมาตรฐาน 802.3af หรือ PoE Switch เป็นต้น ซึ่ง Switch ประเภทนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นในการนำไปติดตั้งรวมกับอุปกรณ์ อาทิ Access Point PoE, IPCamera PoE, หรือ VoIP PoE อาจจะต้องเลือกให้เหมาะสมกับ อุปกรณ์และระยะทางของสาย LAN ที่ใช้ด้วยครับ



อุปกรณ์สื่อสารอื่นๆ
1. PCI
PCI ย่อมาจาก Peripheral Component Interconnection คือช่องเสียบอุปกรณ์ ต่าง ๆ อาทิ การ์ดเสียง การ์ด Network โมเด็มแบบ Internal แม้กระทั่งการ์จอ เพื่อให้อุปกรณ์ทำงานควบคู่ไปกับซีพียูได้อย่างรวดเร็ว ซึ่ง PCI มีความสามารถที่จะส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูง โดยมีแบนด์วิดท์ (Band width) อยู่ที่ 32 บิต และ 64 บิต โดย PCI แบบ 64 บิตนี้เราจะเรียกว่า PCI-X โดยความเร็วในการส่งข้อมูลของ บัส 32 บิตนั้นสามารถทำความเร็วในการส่งข้อมูลได้ถึง 132 MB/Sec แต่ถ้าเป็นบัสขนาด 64 บิต เราจะได้ความเร็วอยู่ที่ 264MB/Sec ซึ่งเหมาะกับการใช้งานที่เกี่ยวกับกราฟฟิกที่ต้องการความละเอียดสูง

ตัวอย่าง PCI Card
ผู้ที่คิดค้นและพัฒนา PCI (Peripheral Component Interconnection) ก็คือ INTEL ซึ่งได้มีการพัฒนา PCI มาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบันนี้มีการพัฒนามาแล้ว 3 รุ่นด้วยกันคือ
1. PCI 2.0 ทำงานที่ความเร็ว 30-33MHz
2. PCI 2.1 สนับสนุนการทำงานที่ความเร็ว 66MHz
3. PCI 2.2 สนับสนุน slot ได้สูงถึง 5 slot และยังรองรับ PCI card แบบ Bus Master ซึ่งเป็นการส่งถ่ายข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่อพ่วงและหน่วยความจำโดยตรงนั่นเอง
ที่มา http://www.xn--12cg1cxchd0a2gzc1c5d5a.net/pci/


2. Bluetooth
 Bluetooth คำนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่พูดคำนี้ทีไรแล้วนึกถึงสมัย Nokia ตระกูล N70 ยอดนิยม ที่ต้องส่งไฟล์เพลงให้กับเพื่อนผ่าน Bluetooth เพราะสมัยนั้นยังไม่มี WiFi ให้ใช้บนมือถือ (รู้สึกแก่)
      ในทุกวันนี้บทบาทของ Bluetooth เริ่มน้อยลงไปบ้าง เพราะเดี๋ยวนี้อะไรๆก็ WiFi ไปหมด แต่ทว่าบนแอนดรอยด์ก็ยังมีการใช้งาน Bluetooth พอสมควร ผมจึงขอหยิบเรื่อง Bluetooth กับแอนดรอยด์มาให้ได้อ่านกันเล่นๆอีกตามเคย
      Bluetooth เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ใช้สื่อสารหรือรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์สองตัวแบบไร้สาย โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่ช่วง 2.4 GHz ในการสื่อสาร เฉกเช่นเดียวกับ WiFi เพียงแต่ว่าเป็นคนละโปรโตคอล (Protocol) กัน  และมาตรฐาน Bluetooth อยู่ภายใต้การดูแลของ Bluetooth Special Interest Group (Bluetooth SIG) ที่คอยพัฒนาและกำหนดมาตรฐานของ Bluetooth ในแต่ละเวอร์ชัน

พัฒนาการของ Bluetooth แบบคร่าวๆ
      ในสมัยแอนดรอยด์ 2.2 เริ่มเข้ามาในบ้านเรา ตอนนั้นก็มี Bluetooth ติดเครื่องกันมานมนานแล้ว (ยกเว้นเครื่องจีนบางเจ้าที่ตัดออกเพื่อลดต้นทุน) ซึ่งเจ้า Bluetooth 2.0 ก็ถือเป็นพื้นฐานขั้นต่ำสำหรับเครื่องที่มี Bluetooth และได้พัฒนาเป็น Bluetooth 2.1 เพื่อปรับปรุงในเรื่องของความปลอดภัยและความเสถียรของสัญญาณ
      แต่ข้อด้อยของ 2.0 ก็คือมันช้าเหลือเกินความเร็วสูงสุดก็ได้แค่ 2.1Mbps แถมเวลาใช้งานจริงๆความเร็วก็ไม่เคยได้ความเร็วสูงสุดเลย จึงทำให้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็น Bluetooth 3.0 เพื่อให้มีความเร็วเพิ่มมากขึ้นถึง 24 Mpbs ซึ่งถือว่าดีขึ้นมาก ตอนนั้นแอนดรอยด์ที่เริ่มมี Bluetooth 3.0 ก็ยังอยู่ในช่วง Android 2.3 - 3.0 เอง และหลังจากนั้นก็มีทั้งเครื่องที่เป็น Bluetooth 2.0 และ Bluetooth 3.0 ปนๆกันไป (ขึ้นอยู่กับสเปค) 
      การมาของ Bluetooth 4.0 นั้นแตกต่างจากเดิม เพราะว่าการพัฒนาในเรื่องความเร็วนั้นไม่ใช่คำตอบที่จำเป็นแล้วในเมื่อ WiFi ยังไงก็เร็วกว่า ดังนั้นBluetooth 4.0 จึงหันไปพัฒนาในด้านของการประหยัดพลังงานแทน จึงได้ออกมาเป็น Bluetooth Low Energy หรือที่รู้จักกันว่า Bluetooth LE หรือBLE ซึ่งเริ่มเข้ามามีบทบาทใน Android 4.3 เป็นต้นมา และมีการพัฒนามาเป็น Bluetooth 4.1 ที่ปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น และล่าสุดเป็น Bluetooth 4.2 ที่เพิ่มในเรื่องของ IoT เข้ามาด้วย แต่ยังไม่มีอุปกรณ์แอนดรอยด์ตัวไหนใช้งาน Bluetooth 4.2 
Bluetooth 4.0 ใช้งานกับ Bluetooth 2.0 ได้มั้ย?
      คำถามยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคนที่สงสัยว่าอุปกรณ์แอนดรอยด์ของตัวเองนั้นเป็น Bluetooth 4.0 แต่ทว่าอุปกรณ์ที่จะเอามาเชื่อมต่อด้วยกลับเขียนว่าเป็น Bluetooth 2.0 ก็เลยไม่แน่ใจว่ามันจะใช้งานได้หรือไม่
     คำตอบคือ ใช้ได้ เวอร์ชันของ Bluetooth ไม่ต่างอะไรกับเวอร์ชันของแอนดรอยด์ เพราะเวอร์ชันใหม่กว่ารองรับฟีเจอร์และการทำงานของเวอร์ชันเก่าอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าเครื่องที่ใช้อยู่เป็น Bluetooth 4.1 ก็รองรับการทำงานของ Bluetooth 2.0 2.1 และ 3.0 อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง




      แต่ต้องดูด้วยว่าจะใช้งานอะไร เช่น ต่อรีโมตกับไม้เซลฟี่ ถ้าแบบนั้นจะ Bluetooth 2.0 หรือ Bluetooth 4.0 มันก็ใช้ได้หมด แต่ถ้าซื้อ Android Wear มาใช้งาน จะต้องเป็น Bluetooth 4.0 แล้วเลขเวอร์ชันของ Bluetooth มันสื่อถึงอะไร?
      เข้าใจง่ายกว่าของแอนดรอยด์เยอะ เพราะเลขเวอร์ชันหลัก (Major Version) อย่างเช่น 2.0, 3.0 และ 4.0 คือมีการเปลี่ยนแปลงในระดับฮาร์ดแวร์ แต่ในเลขเวอร์ชันรอง (Minor Version) อย่างเช่น 4.1 หรือ 4.2 เป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับซอฟต์แวร์ 
      หรือก็คือ Bluetooth 4.0, 4.1 และ 4.2 ไม่ต้องเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ใหม่ แค่อัพเดทซอฟต์แวร์ใหม่ก็ได้แล้ว
Bluetooth 2.0+EDR และ Bluetooth 3.0+HS มันคืออะไร ?
      เชื่อว่าทุกๆคนต้องเคยสงสัย เวลาดูพวกสเปคมือถือในหลายๆที่ เห็นชอบเขียนต่อท้ายกันว่า +EDR บ้าง หรือ +HS บ้าง แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร
      EDR ย่อมาจาก Enhanced Data Rate ส่วน HS ก็คือ High-Speed หรือก็คือมีการปรับปรุงความเร็วให้เพิ่มขึ้นนั่นเอง 
      จากเดิม Bluetooth 2.0 ธรรมดาๆจะมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลอยู่ที่ 2.1 Mbps แต่ถ้าเป็น Bluetooth 2.0 +EDR จะมีการปรับปรุงความเร็วให้เพิ่มมากขึ้นเป็น 3 Mbps แทน แต่สำหรับ Bluetooth 3.0 นั้นส่วนมากจะ +HS ทั้งหมด (ก็ยังไม่เห็นตัวไหนที่ไม่มี High-Speed) ซึ่งมีความเร็วที่ 24 Mbps
      และถ้าเป็น Bluetooth 4.0 บางทีจะเห็นคำว่า APT-x ต่อท้ายด้วย นั่นก็คือ Bluetooth ตัวนี้รองรับ Audio Codec Compression หรือรูปแบบการเข้ารหัสของข้อมูลเสียงแบบ APT-x นั่นเอง ซึ่งเป็นการเข้ารหัสข้อมูลเสียงที่บริษัท CSR (ผู้ผลิตอุปกรณ์ Bluetooth) คิดค้นขึ้น เพื่อให้สามารถรับส่งข้อมูลเสียงคุณภาพสูงได้โดยส่งข้อมูลผ่าน A2DP เหมือนเดิม (เดิมทีมันรับส่งข้อมูลเสียงแบบคุณภาพสูงไม่ไหว) 
แล้ว Bluetooth 4.0
      อย่างที่เล่าไปในตอนแรกว่าเมื่อความเร็วไม่ใช่หัวใจสำคัญของ Bluetooth ดังนั้น Bluetooth 4.0 จึงนำเสนอออกมาในรูปแบบของการประหยัดพลังงานมากกว่า ซึ่งความเร็วในการรับส่งข้อมูลก็คือ 24 Mbps เหมือนกับ Bluetooth 3.0  แต่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้ประหยัดพลังงานมากขึ้นเพื่อใช้กับใน Smart Device อย่างพวก Wearable Device


ฟีเจอร์ต่างๆใน Bluetooth ที่ใช้บ่อยๆบนแอนดรอยด์
      เรารู้กันอยู่แล้วว่า Bluetooth ไม่ได้มีไว้แค่รับส่งไฟล์ระหว่างเครื่องสองเครื่อง แต่มันยังทำได้มากกว่านั้น ไม่ว่าจะต่อออกลำโพง หรือใช้กับหูฟังไร้สาย หรือแม้แต่รีโมตของไม้เซลฟี่ 
      ดังนั้นใน Bluetooth หนึ่งตัวก็จะประกอบไปด้วย Profile หลายๆแบบด้วยกัน แต่ถ้านึกไม่ออกว่า Profile เป็นยังไง ก็ให้คิดว่ามันคือ Feature

      และผู้อ่านก็น่าจะเคยผ่านตากับชื่อเรียกเหล่านี้ของ Bluetooth กันมาบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็น A2DP, AVRCP, HID หรือ BLE พวกนี้คือ Feature ที่มีอยู่ใน Bluetooth เพียงแต่ว่าแต่ละ Profile จะถูกใช้งานในคนละด้านแตกต่างกันไป
      A2DP (Advanced Audio Distribution Profile) คือ Sound Streaming นั่นเอง เวลาที่คุณซื้อ Bluetooth Speaker /Headset/Earphone มาใช้ เวลาเชื่อมต่อมันจะเชื่อมต่อแบบ A2DP นั่นเอง  
      AVRCP (Audio/Video Remote Control Profile) คือ Remote Control ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่ผมใช้ Bluetooth Headset อยู่ ผมสามารถกดเพิ่ม/ลดเสียง หรือสั่งเล่นเพลงถัดไปได้ จะใช้ Profile ตัวนี้นี่แหละ รวมไปถึงรีโมตจากไม้เซลฟี่ด้วย (อะไรที่กดปุ่มสั่งงานผ่าน Bluetooth) 
      HID (Human Interface Device Profile) อันนี้ถ้าคุ้นๆหูกันจะนึกถึง USB มากกว่า แต่จริงๆก็เหมือนกัน เป็น Profile สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำพวก Mouse, Keyboard หรือ Joystick ที่เอาไว้ควบคุมเครื่องผ่าน Bluetooth นั่นเอง เช่น คุณซื้อ Bluetooth Keyboard มาเอาไว้ต่อกับแอนดรอยด์เพื่อพิมพ์งาน มันก็จะเชื่อมต่อผ่าน HID 
     BLE (Bluetooth Low Energy) จริงๆควรเรียกว่า GATT ซะมากกว่า เพราะ GATT คือชื่อ Profile ส่วน BLE คือคำที่ใช้เรียกการทำงานโดยรวม แต่เพื่อความคุ้นหูก็ขอเรียกเป็น BLE ละกัน โดย BLE จะมีไว้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จำพวก Wearable Device หรือ Smart Device ที่ใช้พลังงานน้อย เช่น Android Wear, Smartband และอื่นๆ โดยอุปกรณ์พวกนี้มีขนาดเล็กเน้นพกพาติดตัวได้ ทำให้แบตเตอรีมีขนาดเล็ก จึงต้องใช้ BLE เพื่อให้ประหยัดพลังงานมากที่สุดเวลาที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์แอนดรอยด์

3. BANDWIDTH CONTROL
        BANDWIDTH CONTROL หรือ BANDWIDTH MANAGEMENT คืออะไรก่อนที่ท่านจะทำความเข้าใจว่า BANDWIDTH CONTROL หรือ BANDWIDTH MANAGEMENT คืออะไร นั้น ก็ต้องรู้ความหมายของ BANDWIDTH เสียก่อนว่าคืออะไร

Bandwidth(อัตราการส่งถ่ายข้อมูล) คือ อัตราของข้อมูลสูงสุดที่สามารถส่งถ่ายได้ หรือ อัตราของข้อมูลที่ได้ส่งถ่ายจริงๆในเวลาหนึ่งๆ ผ่านอุปกรณ์เครือข่าย เช่น สายเคเบิลทองแดง การวัดอัตราการส่งถ่ายข้อมูลนั้น สามารถวัดได้ในหน่วย บิตต่อวินาที หรืออาจวัดเป็นเท่าๆของหน่วยนั้น เช่น กิโลบิตต่อวินาที(kbps) เมกกะบิตต่อวินาที(Mbps) ฯลฯ โดยเป็นความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลที่เป็นสัดส่วนโดยตรงของจำนวนข้อมูลทั้งหมดที่สามารถส่งผ่านหรือรับต่อหน่วยเวลา เช่น การดาวน์โหลด (Download) ไฟล์รูปภาพทุกประเภทในหนึ่งวินาทีใช้แบนด์วิชท์ มากกว่าการดาวน์โหลดข้อความในเวลาหนึ่งวินาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ (กราฟิก เสียง วิดีโอ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ภาพเคลื่อนไหว ฯลฯ ) ต้องใช้แบนด์วิชท์มาก ซึ่งการนำเสนอแบบ Virtual reality (VR) และภาพแบบ 3 มิติ ชนิด Full-length ใช้แบนด์วิชท์มากที่สุด โดยสามารถทำการแบ่งอัตราการส่งถ่ายข้อมูล(Bandwidth) ออกเป็น 2 ทิศทางนั่นก็คือ
-อัตราการส่งถ่ายข้อมูลจาก Server ไปยัง Client(Download)
-อัตราการส่งถ่ายข้อมูลจาก Client ไปยัง Server (Upload)
    ดังนั้นยิ่งแบนด์วิชท์(Bandwidth)ยิ่งสูง การรับส่งข้อมูล เข้า-ออก ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพสูงด้วย ดังนั้น ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตต่างนำเอาแบนด์วิชท์(Bandwidth) หรือ อัตราการส่งถ่ายข้อมูล นี้มาอ้างอิงเป็นตัวแปรเพื่อแบ่งประเภทของคุณภาพในการให้บริการ เช่น True อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
อัตราการส่งถ่ายข้อมูล
Download
Upload
ราคา
อัตราการส่งถ่ายข้อมูลต่ำสุด
20 Mbps
2 Mbps
799 บาท ต่อ เดือน
อัตราการส่งถ่ายข้อมูลปานกลาง
50 Mbps
5 Mbps
2,799 บาท ต่อ เดือน
อัตราการส่งถ่ายข้อมูลดีที่สุด
100 Mbps
10 Mbps
4,999 บาท ต่อ เดือน
    รายละเอียดจากตารางด้านบนจะเห็นได้ว่า ยิ่งผู้ใช้งานต้องการอัตราการส่งถ่ายข้อมูลดีเท่าไร่ ผู้ใช้งานก็ต้องจ่ายเงินมากขึ้นเท่านั้น พอลองคิดคำนวณดูโดยเอาโดยเอา เงินที่ต้องจ่าย หารด้วย ความเร็วที่ได้ คือ 799บาท/20Mbps = 39.95 บาท ต่อ1Mbps เลยทีเดียว ทีนี้โจทย์ที่ต้องคิดคือ โรงแรมมีห้องพัก 20 ห้อง และให้บริการ Wi-Fi Internet แก่ลูกค้าจำนวน 40 ราย และต้องการใช้งาน Internet และต้องสามารถใช้งาน Youtube โดยไม่สะดุด Video Quality ที่ยอมรับได้ คือ 360p

ที่มา http://www.nannetwork.com/tech-review/bandwidth-control/


4. สาย HDMI
ภาพจาก : nicab.co.uk
        มันก็คือสายนำสัญญาณแบบ สาย av หรือสาย component นั่นและ แต่ว่าlสองตัวนั้นเป็นระบบอนาล็อก แต่สายhdmi เป็นระบบดิจิตอลทำให้ไม่เกิดloss อีกทั้งยังส่งทั้งภาพและเสียงในสายเส้นเดียวกัน ทำให้ไม่เกะกะอีกด้วย ถ้ามี lcd tv หรือเล่นพวกไฟล์ High definition ก็ควรจะใช้สาย hdmiครับ
        HDMI เป็นระบบการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบใหม่คะ ย่อมาจากคำว่า (H)igh (D)efinition (M)ultimedia (I)nterface โดย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไม่มีการบีบอัดข้อมูลไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้นเดียวให้ความคมชัดของภาพ มีความละเอียด มีความคมลึกและให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมาขั้วต่อของ HDMI to HDMI จะผลิตจากทองแท้ 24 K  ด้วยนะคะ ทุกวันนี้ HDMI ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์ Home Theatre หลายอย่างเช่น พลาสม่าทีวี แอลซีดีทีวี เครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ
HDMI = High Definition Multi-media Interface
HDMI เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบ digital ที่น่าจะเรียกได้ว่าดีที่สุดในอุปกรณ์ภาพและเสียงยุคนี้..
หน้าตาของช่องต่อ HDMI ก็จะคล้ายๆกับช่องต่อ USB ของคอมฯน่ะครับ.. แต่ว่าจะใหญ่กว่านิดหน่อย..
การเชื่อมต่อสัญญาณภาพและเสียงยกตัวอย่างเช่นจากเครื่องเล่น DVDไปยังจอทีวี (ทั้งแบบ CRT และ LCD) ก็จะต้องใช้สายสัญญาณในการเชื่อมต่อ.. สายสัญญาณที่ใช้นั่นก็คือสาย HDMI นั่นเองครับ..
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น..อุปกรณ์ที่จะใช้เชื่อมต่อนั้นจะต้องมีช่องต่อ HDMIรองรับนะครับ.. เครื่องเล่น DVD ไม่ได้มีช่องต่อ HDMI ทุกรุ่น จะมีเฉพาะแค่บางรุ่นเท่านั้น.. ส่วนทีวีแบบ CRT (พวกจอบวม) ก็จะมีแค่ไม่กี่รุ่นเท่านั้นที่มีช่องต่อ HDMI ในขณะที่ LCD TV จะมีช่องต่อHDMIเป็นมาตรฐาน (แต่ว่าจะมีให้มากี่ช่องนั้นแล้วแต่รุ่นและยี่ห้อครับ)..
ราคาสาย HDMI มีตั้งแต่ไม่กี่ร้อยบาทไปจนถึงเป็นหมื่นบาท..ขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัตถุดิบและยี่ห้อครับ..แต่ผมเองก็ยังไม่เคยลองใช้สายHDMI แพงๆอ่ะนะ.. พอดีเครื่องเล่น DVD ที่ซื้อมามันแถมสายHDMI มาให้เรียบร้อยแล้วน่ะครับ..
HDMI เป็นระบบการเชื่อมต่อภาพและเสียงแบบใหม่ย่อมาจากคำว่า (H)igh (D)efinition (M)ultimedia (I)nterface โดย HDMI จะเชื่อมต่อทั้งสัญญาณภาพและเสียงระบบดิจิตอลแบบไม่มีการบีบอัดข้อมูลไว้ในสายสัญญาณเพียงเส้นเดียวให้ความคมชัดของภาพ มีความละเอียด มีความคมลึกและให้เสียงที่สมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่เคยมีมาขั้วต่อของHDMI to HDMI จะผลิตจากทองแท้ 24 K  ด้วยทุกวันนี้ HDMI ถูกนำมาใช้กับอุปกรณ์ Home Theatre หลายอย่างเช่น พลาสม่าทีวี  แอลซีดีทีวีเครื่องเล่นดีวีดี ฯลฯ
HDMI คืออะไร
      มาตรฐาน HDMI เป็นมาตรฐานการส่งข้อมูลที่ทาง Sony, Hitachi, Thomson (RCA), Philips,Matsushita (Panasonic), Toshiba และSilicon Image ได้พัฒนาขึ้น โดยชื่อ HDMIนี้เป็นตัวย่อที่ย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ซึ่งความหมายของมันก็ตรงประเด็นครับคือเป็นการเชื่อมต่อสำหรับมัลติมีเดียความละเอียดสูงนั่นเองและด้วยความที่มันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับมัลติมีเดียนั่นเองจึงทำให้มันมีจุดเด่นตรงที่มันรองรับการส่งทั้งสัญญาณภาพและเสียงไปพร้อมๆกันบนสายเคเบิลเส้นเดียวกัน ผ่านพอร์ตๆ เดียวกันซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกสบายและลดความสับสนในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ลงได้อย่างมากทีเดียวการต่อสายที่ยุ่งยากซับซ้อนจะถูกแก้ไขด้วยการเชื่อมต่อแบบ HDMIด้วยจุดประสงค์หลักของ HDMI ที่ถูกพัฒนาขึ้นก็เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภคเพื่อให้ได้รับความบันเทิงเต็มรูปแบบกับระบบภาพและเสียงแบบ High-Definitionและระบบเสียงรอบทิศทาง ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่มีการเชื่อมต่อแบบHDMI นั้นคุณอาจจะต้องเชื่อมต่อสัญญาณวิดีโอและสัญญาณเสียง อย่างน้อยก็ 2 ช่องทางแล้วยิ่งถ้าคุณต่อสัญญาณวิดีโอแบบ Componentและใช้ระบบเสียงแบบ 5.1หรือ 7.1-Channel ด้วยแล้ว จะต้องเชื่อมต่อสายเป็นสิบเส้นให้วุ่นวายไปหมดHDMI จึงช่วยให้ผู้ใช้เชื่อมต่อทุกอย่างได้ภายในสายเส้นเดียว เหมาะสำหรับพวกมีเดียเพลเยอร์เครื่องเล่นเกมคอนโซล หรืออุปกรณ์ Set top box ต่างๆ ที่ต้องต่อเข้ากับทีวีอย่างยิ่ง
อนาคต อุปกรณ์จำพวกมีเดียเพลเยอร์หรือ Set tob boxก็จะหันไปใช้การเชื่อมต่อ HDMI กันหมด เพราะสะดวกกว่า
         อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันก็คือ HDMI เป็นรูปแบบการเชื่อมต่อที่รองรับกับมาตรฐานHDCP ซึ่งเป็นมาตรฐานการป้องกันการสำเนาข้อมูลและใช้สำหรับจำกัดคุณภาพสำหรับอุปกรณ์ที่ไม่รองรับมาตรฐาน HDCP อีกด้วย
คุณสมบัติของ HDMI
       แน่นอนว่าการเชื่อมต่อแต่ละชนิดย่อมต้องมีขีดจำกัดที่ถูกกำหนดมาไว้ด้วยกันทั้งสิ้นซึ่งนั้นก็คือคุณสมบัติของการเชื่อมต่อนั้นเองHDMI นี้ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับอินเทอร์เฟซอื่นๆแต่ด้วยความที่มันได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับกับมัลติมีเดียระดับ High-Definition อยู่แล้วมันจึงมีความสามารถในการส่งผ่านข้อมูลทั้งภาพวิดีโอและเสียงที่คุณภาพระดับ High-Definitionได้อย่างสบาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีการบีบอัดข้อมูลเลยการส่งสัญญาณภาพ
       สำหรับการส่งภาพวิดีโอนั้นเนื่องจากแหล่งที่มาของข้อมูลภาพนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายแบบดังนั้นมันจึงจะถูกแปลงให้อยู่ในรูปแบบของMPEG เสียก่อน เพื่อใช้สำหรับส่งข้อมูลไปตามสายซึ่งการส่งข้อมูลภาพวิดีโอแบบ MPEG ผ่าน HDMI นี้จะไม่มีการบีบอัดข้อมูลเลยทำให้การสูญเสียคุณภาพนั้นไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีอย่างหนึ่งของ HDMI นั่นเอง รูปแบบการส่งข้อมูลนั้นจะเป็นแบบTMDS ซึ่งเป็นรูปแบบการส่งข้อมูลแบบอนุกรมแบบเดียวกับที่ใช้บนการเชื่อมต่อแบบ DVI นั่นแหละครับHDMI ก็จะมีการส่งสัญญาณวิดีโอที่คล้ายกับการเชื่อมต่อแบบ DVI ที่เราใช้งานกันอยู่นี่แหละครับมีหัวแปลง HDMI to DVI ด้วย เพื่อให้คุณสามารถต่อสัญญาณวิดีโอจากเครื่องเล่นที่เป็น HDMIสู่จอที่อาจจะรองรับเพียงแค่ DVI เท่านั้นขีดความสามารถในการส่งผ่านภาพวิดีโอของ HDMI นั้นจะขึ้นอยู่กับเวอร์ชันของมาตรฐานด้วยเช่นกัน เนื่องจาก HDMI เป็นมาตรฐานที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีเวอร์ชันที่ต่างกันอยู่พอสมควร
แต่ทั้งนี้ทุกๆ เวอร์ชันก็ยังคงใช้งานสายเคเบิลแบบเดียวกันอยู่ เพียงแต่จะมีความสามารถในการส่งข้อมูลได้แตกต่ากันไป ตามเวอร์ชัน อย่างเช่นในเวอร์ชัน 1.0 ซึ่งเป็นเวอร์ชันแรก จะมีความเร็วในการส่งสัญญาณข้อมูลภาพอยู่ที่ 165 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งจะสามารถรองรับสัญญาณภาพแบบ High-Definitionที่ความละเอียดสูงถึง 1080ที่ 60 เฮิรตซ์ ได้ หรือระดับ WUXGA (1920×1080)ซึ่งนั่นคือระดับความละเอียดสูงสุด แต่ถ้าต้องการความละเอียดที่สูงมากกว่านี้
ก็จะต้องใช้อุปกรณ์ที่รองรับมาตรฐาน HDMI ที่มีเวอร์ชันสูงขึ้นอย่างเช่น 1.3ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดจะมีความเร็วในการส่งข้อมูลที่ 340 เมกะเฮิรตซ์และมีสามารถส่งสัญญาณภาพที่ความละเอียดระดับ WQXGA (2560×1600) ได้
การส่งสัญญาณเสียง
      สำหรับการส่งสัญญาญเสียงนั้น HDMI ก็จะมีการส่งข้อมูลไปแบบไม่มีการบีบอัดเช่นเดียวกันโดยจะเป็นข้อมูลเสียงระดับ 192 กิโลเฮิรตซ์ และมีการ Sample แบบ 24 บิต ซึ่งเป็นระดับเสียงเดียวกับที่ใช้ในระบบเดียว Dolby Digital หรือ DTS นั่นเอง นอกจากนี้HDMI ยังรองรับระบบเสียงแบบ8 Channel และรองรับ One Bit Audio ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้ใน Super Audio CD ด้วยแต่จะมีอัตราการส่งข้อมูลที่สูงขึ้นและมากกว่า Super Audio CD ถึง 4 เท่าด้วยกัน และยิ่งในเวอร์ชัน 1.3ยิ่งมีการพัฒนาให้รองรับระบบเสียงที่มีคุณภาพเทียบเท่า Dolby TrueHD และ DTS-HD Master Audio ด้วยมาตรฐาน HDMI เวอร์ชันต่างๆ
- HDMI 1.0 Released December 2002
ใช้สายเส้นเดียวในการส่งข้อมูลทั้งภาพและเสียง มีบิตเรทสูงสุดอยู่ที่ 4.9Gbps รองรับสัญญาณวิดีโอระดับ165 Mpixels/sec video (1080p60Hz or UXGA) และระบบเสียง8-channel/192kHz/24-bit audio.
- HDMI 1.1 Released May 2004 เพิ่มการรองรับ DVD Audio
- HDMI 1.2 Released August 2005 เพิ่มการรองรับ One Bit Audio ที่มีการใช้งานใน Super Audio CDs ระบบเสียง 8 channels.
ประกาศใช้มาตรฐานหัวต่อแบบ A สำหรับเครื่อง PC
อนุญาตให้ PC ใช้สัญญาณภาพระบบสีแบบ RGB ได้ และมีออปชันให้รองรับระบบสีแบบ YCbCr CE ด้วย
ต้องการจอภาพที่ได้มาตรฐาน HDMI 1.2 หรือสูงกว่าเพื่องรับมาตรฐานแรงดันไฟที่ลดลง
- HDMI 1.2a Released December 2005มีการทดสอบและประกาศมาตรฐาน รวมถึงระบบควบคุมต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้า
- HDMI 1.3 Released 22 June 2006.[7] [8]เพิ่มความเร็วในการส่งข้อมูลขึ้นไปที่ 340 MHz (10.2 Gbps)
รองรับความละเอียดสีที่ระดับ 30-bit, 36-bit, and 48-bit xvYCC ซึ่งเป็นออปชันมีการเพิ่มระบบการซิงก์สัญญาณเสียงอัตโนมัติรองรับการส่งสัญญาณขาออกแบบ Dolby TrueHD and DTS-HDMaster Audio streams สำหรับตัวถอดรหัสภายนอก ซึ่งระบบเสียงนี้จะมีใช้ใน HD-DVDหรือ Blu-ray แต่ถ้าเครื่องเล่น DVD สามารถถอดรหัสได้อยู่ก็สามารถส่งข้อมูลผ่าน HDMI ได้เลยมีมาตรฐานหัวต่อขนาดเล็กสำหรับใส่ในอุปกรณ์ขนาดเล็กจำพวกกล้องถ่ายวิดีโอ
HDCP สิ่งสำคัญที่ไม่ควรผลาด
      HDCP หรือ High-bandwidth Digital Content Protection
เป็นมาตรฐานรูปแบบหนึ่งของ Digital Rights Management ที่ทาง Intelได้พัฒนาขึ้นมา ซึ่งถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือเป็นระบบควบคุมลิขสิทธิ์ข้อมูลดิจิตอล หรือป้องกันการก็อปปี้นั่นเองโดยมันจะเป็นมาตรฐานที่คอยป้องกันทั้งสัญญาณภาพและเสียงที่ถูกส่งออกไปผ่านทางการเชื่อมต่อแบบ DVIและ HDMI โดยที่มาตรฐาน HDCP นี้จัดเป็นมาตรฐานปิดของทาง Intel และผู้ที่จะเข้าร่วมกับมาตรฐานนี้ได้จำเป็นจำต้องได้รับใบอนุญาตเสียก่อนด้วยจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี HDMI นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ และก็ดูท่าทางจะเข้ามาแทนที่การเชื่อมต่อพวก Composite, Component หรือ S-Video ในปัจจุบัน อย่างแน่นอนแต่ในตอนนี้ถ้าจะพูดถึงความน่าใช้แล้วล่ะก็ ดูเหมือนว่าผู้ใช้อาจจะยังไม่ค่อยได้รับประโยชน์จากการใช้งานHDMI ที่แตกต่างจาก DVI มากนัก เพื่อเรื่องของตัวข้อมูลที่เป็น High-Definitionก็ยังมีไม่แพร่หลายมาก โดยเฉพาะในประเทศไทย ดังนั้นการใช้งานจึงอาจจะจำกัดอยู่ที่กลุ่มผู้ใช้ที่ชอบดูหนังฟังเพลงแบบ High-Definition จริงๆ เท่านั้น และผู้ใช้เหล่านี้ก็ไม่ได้รู้สึกลำบากที่จะต้องมาต่อสายหลายๆ เส้นอีกด้วย ในทางกลับกัน มันยิ่งทำให้รู้สึกยืดหยุ่นกับการใช้งานมากกว่าการใช้สายเพียงเส้นเดียวของ HDMI ดังนั้นถ้าหากว่าคุณเป็นคนที่ใจรักอยากลอง HDMI แล้วด้วยราคาของอุปกรณ์และคุณภาพที่ยอดเยี่ยมก็คงได้สนองกิเลสกันได้บ้าง แต่ถ้าถามว่ามาตรฐานตัวนี้จะเกิดหรือดับก็คงต้องรอดูกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านทั่วไปที่ได้รับประโยชน์ในเรื่องความสะดวกสบายไปเต็มๆแต่กว่าจะถึงตอนนั้นเราคงต้องรอให้ข้อมูลแบบ High-Definition ออกมาแพร่หลายกันก่อน



5. การ์ดเครือข่าย (Network  Adapter) หรือ การ์ด LAN


เป็นอุปกรณ์ทำหน้าที่สื่อสารระหว่างเครื่องต่างกันได้ไม่จำเป็นต้องเป็นรุ่นหรือยี่ห้อเดียวกันแต่หากซื้อพร้อมๆกันก็แนะนำให้ซื้อรุ่นและยีห้อเดียวกันจะดีกว่าและควรเป็น การ์ดแบบ PCI เพราะสามารถส่งข้อมูลได้เร็วกว่าแบบ ISAและเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆมักจะไม่มีSlot  ISA ควรเป็นการ์ดที่มีความเร็วเป็น 100 Mbpsซึ่งจะมีราคามากกว่าการ์ดแบบ 10 Mbps ไม่มากนัก แต่ส่งขอมูลได้เร็วกว่า นอกจากนี้คุณควรคำหนึงถึงขั้วต่อหรือคอนเน็กเตอร์ของการ์ดด้วยโดยทั่วไปคอนเน็กเตอร์ ของการ์ด LAN จะมีหลายแบบ เช่น BNC , RJ-45 เป็นต้น ซึ่งคอนเน็กเตอร์แต่ละแบบก็จะใช้สายที่แตกต่างกัน
วิธีการต่อสาย LAN
1.  ก่อนอื่นให้คุณตัดฉนวน PVC  ที่หุ้มสายออกโดยให้ตัดห่างจากปลายสายเข้ามาประมาณครึ่งนิ้ว  (17/32 นิ้ว)
2.  จากนั้นตัดสาย Shieled  ที่มีลักษณะเป็นร่างแหชั้นที่ 2 ออก  โดยตัดให้ห่างจากปลายสายเข้ามา  8/32 นิ้ว หรือ 1/4 นิ้ว
3.  จากนั้นให้คุณตัดฉนวนสีขาวชั้นในออก โดยตัดให้ห่างจากปลายสายเข้ามาประมาณ 6/32 นิ้ว
4.  หลังจากที่เตรียมสายเสร็จแล้ว  ให้คุณนำตัว BNC Connector หรือขั้วต่อมาเชื่อมต่อ  โดยขั้วต่อจะมีส่วนประกอบทั้งหมด 3 ส่วนดังนี้
5.  ให้คุณนำเอาสายที่ได้เตรียมไว้สวมเข้าไปในส่วนที่ 1 ไว้ก่อน
6. นำส่วนที่ 2 ที่มีลักษณะเป็นเข้มเล็กๆมาสวมกับสายที่ได้เตรียมไว้ หากคุณตัดสายได้ตามสัดส่วนที่กำหนดสายจะพอดีหัวขั้ว
7.  นำสายไปเสียบกับหัวขั้วส่วนที่ 3  แล้วเลื่อนปลอกเข้ามาให้ชิดกับหัวขั้วและใช้คีมบีบปลอกให้ยึดติดกับหัวขั้วและสาย
8.  ทำตามขั้นตอนกับสายอีกด้านก็จะได้สายที่พร้อมใช้งาน 1 เส้น

6. สายสัญญาณ
ตัวกลางหรือสายเชื่อมโยง เป็นส่วนที่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหย่างอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งลักษณะของตัวกลางต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
1) สายคู่บิดเกลียว
สายคู่บิดเกลียว (twisted pair) แต่ละคู่สายทองแดงจะถูกพันกันตามมาตรฐานเพื่อลดการรบกวนจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคู่สายข้างเคียงภายในเคเบิลเดียวกันหรือจากภายนอก เนื่องจากสายคู่บิดเกลียวนี้ยอมให้สัญญาณไฟฟ้าความถี่สูงผ่านได้ถึง 10 Hz หรือ10 Hz เช่น สายคู่บิดเกลี่ยว 1 คู่ จะสามารถส่งสัญญาณเสียงได้ถึง 12 ช่องทาง สำหรับอัตราการส่งข้อมูลผ่านสายคู่บิดเกลียวจะขึ้นอยู่กับความหนาของสายด้วย กล่าวคือ สายทองแดงที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางกว้าง จะสามารถส่งสัญญาณไฟฟ้ากำลังแรงได้ ทำให้สามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่วนสูง โดยทั่วไปแล้วสำหรับการส่งข้อมูลแบบดิจทัล สัญญาณที่ส่งเป็นลักษณะคลื่นสี่เหลี่ยม สายคู่บิดเกลียวสามารถใช้ส่งข้อมูลได้หลายเมกะบิตต่อวินาที ในระยะทางได้ไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากสายคู่บิดเกลียว มีราคาไม่แพงมาก ใช้ส่งข้อมูลได้ดี แล้วน้ำหนักเบาง่ายต่อการติดตั้ง จึงถูกใช้งานอย่างกว้างขวาง ตัวอย่างคือ สายโทรศัพท์ สายแบบนี้มี 2 ชนิดคือ
สายคู่บิดเกลียวชนิดหุ้มฉนวน
ข. สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (Unshielded Twisted Pair :UTP) เป็นสายคู่บิดเกลียวที่หุ้มด้วยฉนวนชั้นนอกที่บางอีกชั้นดังรูป mำให้สะดวกในการโค้งงอแต่สามารถป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้น้อยกว่าชนิดแรก
สายคู่บิดเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน

2) สายโคแอกเชียล
          สายโคแอกเชียลเป็นตัวกลางเชื่อมโยงที่มีลักษณะเช่นเดียวกับสายทีวีที่มีการใช้งานกันมาก ไม่ว่าในระบบเครือข่ายเฉพาะที่ ในการส่งข้อมูลระยะไกลระหว่างชุมสายโทรศัพท์หรือการส่งข้อมูลสัญญาณวีดิทัศน์ สายโคแอกเชียลที่ใช้ทั่วไปมี 2 ชนิด คือ 50โอห์ม ซึ่งใช้ส่งข้อมูลแบบดิจิทัล และชนิด 75 โอห์มซึ่งใช้ส่งข้อมูลสัญญาณแอนะล็อก สายโคแอกเชียลจะมีฉนวนหุ้มป้องกันการรบกวนของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และสัญญาณรบกวนอื่น ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สายแบบนี้มีช่วงความถี่ที่สัญญาณไฟฟ้าสามารถผ่านได้กว้างถึง 500 Mhz  จึงสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราส่งสูง
ลักษณะของสายโคแอกเชียล 
3)  เส้นใยนำแสง
เส้นใยนำแสง (fiber optic) เป็นการใช้แสงเคลื่อนที่ไปในท่อแก้ว ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยอัตราความหนาแน่นของสัญญาณข้อมูลสูงมาก ปัจจุบันถ้าใช้เส้นใยนำแสงกับระบบอีเธอร์เน็ตจะใช้ได้ด้วยความเร็ว 10 เมกะบิต ถ้าใช้กับ FDDI จะใช้ได้ด้วยความเร็วสูงถึง 100 เมกะบิต เส้นใยนำแสงมีลักษณะพิเศษที่ใช้สำหรับเชื่อมโยงแบบจุดไปจุด ดังนั้น จึงเหมาะที่จะใช้กับการเชื่อมโยงระหว่างอาคารกับอาคาร ระยะความยาวของเส้นใยนำแสงแต่ละเส้นใช้ความยาวได้ถึง 2 กิโลเมตร เส้นใยนำแสงจึงถูกนำไปใช้เป็นสายแกนหลัก เส้นใยนำแสงนี้จะมีบทบาทมากขึ้น เพราะมีแนวโน้มที่จะให้ความเร็วที่สูงมาก

ลักษณะของเส้นใยนำแสง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น